วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เพลงแนะนำ อินดี้ฟังสบาย ความหมายดี :)




เพลง ตกหลุมรักเธอ  จากคัยไม่ทราบ
อัพขึ้นมาแล้วเพราะแบบนี้ คงได้เกิดแน่ๆค่ะ

สำหรับคัยที่ตกหลุมรัก บางคนอยู่ น่าจะฟังแล้วซึ้งนะคะ :))
เป็นกำลังใจให้ทุกคน พบรัก อย่างต้องการค่าาาา า า ~

เคยเห็นไหม ,, โฆษณาไทย แบบเก่าๆ (คลาสสิคเสียจิงๆ)

แป้งโอวัลตินพ.ศ. 2471

           นั่น อันแรก..ก็งงแล้วอ่ะดิ๊ นี่มันโฆษณาแป้งทาหน้าชัดๆ เลยใช่มั้ยล่ะ มีทำให้ผิวพรรณผ่องใสด้วย แต่ในหนังสือ เค้ายืนยันว่าเป็นโฆษณา 'โอวัลติน' ที่เป็นเครื่องดื่มจริงๆค่ะ

แถมเกร็ดจากคุณเอนกนิดนึง... 'โอวัลติน' นั้นวางตลาดครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2447 (100 ปีแว้วว) เดิมใช้ชื่อว่า 'Ovomaltine' คิดค้นโดย ดร. ยอร์ช แวนเดอร์ (Dr. George Wander) นักเคมีชาวสวิสค่า




ยางดันล็อบ
พ.ศ. 2472
โฆษณา ยางใน และยางนอก ยี่ห้อ 'ดันลอป' ทำเป็นรูปผู้หญิงขับยาง สวยดีเหมือนกัน



ยาสีฟันวิเศษนิยม
พ.ศ. 2478
ไม่ แน่ใจว่ายังมีขายอยู่หรือเปล่ายาสีฟัน 'วิเศษนิยม' เนี่ยแต่ชื่อยังคุ้นๆ หูนะ...
ยัง จำกันได้มั้ยน้อ ยุคนึงที่ดนตรีอัลเตอร์ฯ อินดี้ดังใหม่ๆ (เกือบ 10 ปีก่อนนู้น) เบเกอรี่มิวสิค เคยออกอัลบั้มวงอินดี้มาพร้อมกัน 3 วง มีวงนึงใช้ชื่อ 'วิเศษนิยม' นี่ล่ะ (และ 1 ใน 2 วง ที่เหลือก็คือ ซิลลี่ฟูลส์)






ยานัดถ์หมอมี
พ.ศ. 2479
อัน นี้ก็เหมือนกันไม่แน่ใจว่ายังมีขายอยู่หรือเปล่า (ยุคนี้ยังมีคนใช้ยานัตถุ์อยู่หรือเปล่าเหอะ) แต่เห็นยังมีตึก 'หมอมี' อยู่แถววงเวียน 22 เลยเดาเอาว่าคงยังมีขายอยู่น่ะ



เบียร์ตราว่าวปักเป้า และตราสิงห์
พ.ศ. 2479
เบียร์ 'ว่าวปักเป้า' น่ะไม่อยู่แล้ว ส่วนเบียร์ 'สิงห์' คงไม่ต้องบรรยายอะไรกันอีก 
ในโฆษณาใช้จุดขายว่าเป็นเบียร์ไทยที่ไม่มีสารเคมีเจือปนเหมือน เบียร์นอก



ผ้าอนามัยโกเต๊กซ์
พ.ศ. 2503
และ นี่คือโฉมหน้าของสินค้าที่ทำให้คนไทยเมื่อก่อนใช้คำว่า 'โกเต๊กซ์' ในความหมายที่หมายถึงผ้าอนามัยแม้ว่าผ้าอนามัยนั้นๆ จะไม่ใช่ยี่ห้อ 'โกเต๊กซ์' ก็ตาม



ผงซักฟอกแฟ๊บ
พ.ศ. 2504


และ คนไทยสมัยก่อน ก็ใช้คำว่า 'แฟ้บ' ในความหมายที่หมายถึงผงซักฟอกเช่นกัน

ใน โฆษณามีสอนวิธีการซักเสื้อผ้าด้วย 'แฟ้บ' และยังบอกอีกด้วยว่า ผงซักฟอก 'แฟ้บ' นี้สามารถเอาไปล้างถ้วยชามได้ดีที่สุดอีกด้วย แต่ยุคนี้คงไม่มีใครเอาผงซักฟองมาล้างจานอีกแล้วล่ะเน๊าะ



เครื่องดื่ม เปปซี-โกลา
พ.ศ. 2497


นี่ คือโฆษณา 'เป๊ปซี่' ที่ลงในหนังสือเล่มเดียวกันกับโฆษณา 'โคคา-โคลา' อันบนเลย แสดงว่า 'เป๊ปซี่' กับ 'โค้ก' นี่แข่งขันกันมายาวนานมาก


ที่มา : dek-d.com

วิธีการเลือกซื้อ sf 400 v-tec




วิธีการเลือกซื้อ superfour 400 v-tec 
sf 400 เป็นรถที่เรียกว่ายอดฮิตมากในบ้านเรา ด้วยเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครคือ
1.สวยที่สุดในรุ่น 400 ปัจจุบัน
2.อะไหล่เก่าเยอะมากก
3.มีปีใหม่ๆให้เราเลือกจนถึง v-tec 4 ปัจจุบัน
4.เครื่องแรงและนุ่มนวลมาก
5.ขายต่อราคาไม่ค่อยตก

ผมก็เลยเลือกรีวิวรุ่นนี้ที่ผมเคยใช้มาให้เพื่อนๆดูกันนะครับ เวลาที่เราจะเลือกซื้อเราจะต้องดูอะไรบ้าง เพราะว่า sf400 v-tec เนี่ยหน้าตาคล้ายกันหมด ไม่รุ้จะเลือกยังไงให้ไม่โดนหลอก


1.ดูเลขคอ เลขเครื่อง
ปี 01 nc-39-102xx nc23e-202xxx
02 nc-39-103xx nc23e-203xxx
03 nc-39-104xx nc23e-204xxx
04 nc-39-105xx nc23e-205xxx
05 nc-39-110xx nc23e-210xxx
06 nc-39-120xx nc23e-220xxx
07 ไปคาดการณ์กันเองครับ เลขมันเรียงตามลำดับเลยครับ

2.ให้เราคิดว่าส่วนที่เวลารถล้มแล้วมันจะต้องโดนพื้นมีอะไรบ้าง ของพวกนี้ควรจะอยู่ครบ ถ้าไม่ครบให้คิดไว้เลยว่าเคยล้มมาหรือชนมาแล้ว
2.1 กระจกเดิม เพราะถ้าล้มนี่กระจกโดนก่อนเลย
2.2 ตุ้มปลายแฮนด์ อันนี้ก็โดนก่อนกระจกนิดนึง
2.3 แฮนด์ sf ถ้าล้มแฮนด์จะงอก่อนเลย 
2.4 เซนเซอร์พักเท้า มันจะบอกเลยว่าล้มมาขนาดไหน ถ้าไม่อยู่ก็...
2.5 โคมไฟหน้า ถ้าเคยล้มโคมจะต้องมีรอยครับ
2.6 ล้อต้องไม่กลึงล้างขอบมา เพราะถ้ากลึงล้างมาแสดงว่าล้อเดิมอาจเคยซ่อมหรือรีดมา หรือมีรอยกระแทกกับฟุตบาทจนมีรอยลึก จึงต้องกลึงออกเพื่อลบรอยเหล่านั้น..ลองคิดซิถ้าเป็นรถเราล้อดีๆล้อเดิมๆสีเดิมสวยๆ จะกล้ากลึงล้อแท้ของเดิมติดรถมั้ย หรือจะบอกว่ากลึงให้สวย หรือกลึงให้เบา...ฟังไม่ขึ้นเลยครับ

3. โช๊คหลังแต่ละปีสีจะไม่เหมือนกัน 
เทค1ปี 99 สปริงสีดำ ปั๊มเบรคอยู่ล่าง มีหูรัดท่อ
เทค1ปี 00 สปริงสีแดง ปั๊มเบรคอยู่ล่าง มีหูรัดท่อ
เทค1ปี 01 สปริงสีแดง ปั๊มเบรคอยู่ล่าง มีหูรัดท่อ
เทค2ปี 02 สปริงสีแดง ปั๊มเบรคอยู่ล่าง มีหูรัดท่อ (กุญแจชิพ)
(ปี 03 ขึ้นไปจะไม่มีหูรัดท่อแล้วนะครับ และกุญแจชิพเริ่มปี 02ขึ้นไป)
เทค2ปี 03 สปริงสีแดง ปั๊มเบรคอยู่ล่าง ตูดแหลม ไมค์ดิจิตอล 
เทค3ปี 04 สปริงสีเทา ปั๊มเบรคอยู่บน ตูดแหลม ไมค์ดิจิตอล
เทค3ปี 05 สปริงสีแดง ปั๊มเบรคอยู่บน ตูดแหลม ไมค์ดิจิตอล
เทค3ปี 06 สปริงสีแดง ปั๊มเบรคอยู่บน ตูดแหลม ไมค์ดิจิตอล ไฟเลี้ยวสีขาว


4.ปลายท่อของปี 99-2000 จะมีที่รัดท่อ แต่ปี 04 ขึ้นมาจะไม่มีครับ ถ้ารถเราปีเกิน 04 แต่ปลายท่อมีสายรัดท่อ แสดงว่าไม่ใช่ท่อเดิมติดรถ เพราะรถล้มหนักมาแน่นอนจนท่อบุบหรือเสียหายจนต้องเปลี่ยน เลยเอาของปีอื่นมาใส่แทน

5.ฝาปิดปลายโช๊คข้างบนทั้งสองข้างต้องมีตัวปรับสปริงเป็นขั้นๆ ไม่ใช่แค่ฝาปิดเฉย 

6.ปี 99-01 จะเป็นไมค์ธรรมดา แต่ถ้าปี 02 ขึ้นไปหรือที่เรียกว่าเทค2 จะเป็นไมค์ไฟฟ้า คือจะสวิงตัว 1 ครั้งตอนบิดกุญแจและ และเพิ่มหน้าปัทดิจอตอลมาให้อีกนิดนึง 

7.กุญแจชิพจะเริ่มต้นที่เทค2

8.ฝาครอบเครื่องด้านขวา ต้องไม่เคยปัดเงาหรือย้อมสี ถ้าปัดเงาแสดงว่าล้มแล้วปัดเก็บรอยครับ (คันผมล้มขวาเลยปัดเงาเก็บงานครับ)

9.ฝาครอบมัดข้าวต้มด้านซ้ายที่เป็นกลมๆจะบอกถึงร่องรอยการล้มได้ครับ สังเกตุรอบๆวงกลมจะมีเส้นวงกลมเล็กๆอยู่รอบๆ ถ้าเส้นมันหายไปบางส่วนแสดงว่าสไลด์กับพื้นจนเส้นหายไปแล้วครับ 
10.ในรูปนี้คือท่อที่ไม่เคยย้อมสีและรถวิ่งไม่เกิน 9000 โลท่อจะต้องสีดำด้าน นวลๆ และตรงคอท่อโดนความร้อนสีจะออกขาวนวลแต่ต้องไม่ผุ และแทบจะไม่มีสนิม นี่คือรถวิ่งไม่ถึง 10000 โล ถ้าวิ่งเยอะแล้วคอจะผุจนต้องขัดสีใหม่และพ่นสีใหม่อีกครั้งเพื่อย้อมให้ดูว่าท่อยังไม่มีสนิมและยังไม่ผุ

11.และสุดท้ายแล้วสำคัญมาก ตัวเลขไมค์และสภาพรถต้องสัมพันธ์กันเช่น ไมค์ 6000 โล ยางก็ควรจะเป็นยางลายติดรถเพราะรถ 400 cc กว่าดอกจะหมดก็ปาเข้าไปเกือบหมื่นแหละครับ ถ้าไมค์น้อยๆแต่ไม่ใช่ยางลายตรงรุ่นยางลายเดิมแสดงว่าเคยกรอไมค์มาแล้วครับ หรือ..เจ้าของเค้าอาจจะรวยเปลี่ยนยางทั้งที่ยางเก่ายังไม่หมด ให้พวกเราได้ใช้ยางใหม่กันก็ได้ครับ

V-tec รุ่นแรกของโลก ผลิตวันที่ 22 กุมพาพันธ์ ปี 1999

ในวันที่ 31 มกราคม ปี 2000 และ วันที่ 22 มกราคมปี 2001 ก็ยังเป็นเทค 1 อยู่ แต่ไม่เหมือนปี 99 ตรงสีสปริงโช๊คหลัง

ปี 2002 วีเทค 2 ก็ออกมา เปลี่ยนแปลงรายละเอียดไปพอสมควรเลย ปั๊มเบรคหลังอยู่บน ไมค์ไฟฟ้า+ดิจิตอล เปลี่ยนกลไกของวีเทคใหม่ ท่อแบบไม่หูรัดท่อ

วันที่ 23 ธันวาคา ปี 2002 ก็ยังคงเดิมแต่เพิ่มสีสันใหม่
และวันที่ 19 ธันวาคา ปี 2003 เทค 3 ก็ออกมาอวดโฉม
ปี 2004 ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

18 มีนาม ปี 2005 วีเทค 3 เพิ่มลายใหม่ขึ้นมา แถมรุ่นมีหน้ากากอย่าง BOLD'OR ก็เผยโฉมครั้งแรก เปลี่ยนแค่สีโช๊คหนังเป็นสีแดง

20 มีนาคม ปี.2006 วีเทค 3 ก็ออกมาแบบสวยบาดใจ ตูดกระดานเหลมเฟี้ยว เปลี่ยนฝาครอบไฟเลี้ยวเป็นสีขาว


โดยส่วนตัวอยากได้เจ้าตัวนี้มาครอบครอง

ดูแล้วอย่าลืมเอาไปใช้กันนะคะ ,, วิธีดูรถง่ายๆ ก่อนได้แมวย้อมมาใช้งาน :))

กลยุทธ์ทางการตลาด 4P's (Promotion Mix)





         ปกติการวางแผนการตลาด  โดยใช้ 4P กลยุทธ์ทางการตลาดนั้นมีอยู่มากมาย แต่ที่เป็นที่รู้จัก และเป็นพื้นฐานที่สุดก็คือการ ใช้ 4P (Product Price Place Promotion) ซึ่งหลักการใช้คือการวางแผนในแต่ละส่วนให้เข้ากัน และเป็นที่ต้องการของกลุ่ม เป้าหมายที่เราเลือกเอาไว้ให้มากที่สุด ในบางธุรกิจอาจจะไม่สามารถปรับเปลี่ยน ทั้ง 4P ได้ทั้งหมดในระยะสั้นก็ไม่เป็นไรเพราะ เรา สามารถ ค่อยๆปรับกลยุทธ์จนได้ ส่วนผสมทางการตลาดได้เหมาะสมที่สุด ( 4P อาจจะเรียกว่า marketing mix) เราลองมา ดูกันทีละส่วน 




 1. Product ก็คือสินค้าหรือบริการที่เราจะเสนอให้กับลูกค้า แนวทางการกำหนดตัว product ให้เหมาะสมก็ต้องดูว่ากลุ่มเป้า หมายต้องการอะไร เช่นต้องการน้ำผลไม้ที่ สะอาด สด ในบรรจุภัณฑ์ถือสะดวก โดยไม่สนรสชาติ เราก็ต้องทำตามที่ลูกค้าต้องการ ไม่ใช่ว่าเราชอบหวานก็จะพยายามใส่น้ำตาลเข้าไป แต่โดยทั่วไปแนวทางที่จะทำสินค้าให้ขายได้มีอยู่สองอย่างคือ 

      1.1 สินค้าที่มีความแตกต่าง โดยการสร้างความแตกต่างนั้น จะต้องเป็นสิ่งที่ลูกค้าสามารถสัมผัสได้จริงว่าต่างกันและ ลูกค้าตระหนักและชอบในแนวทางนี้ เช่นคุณสมบัติพิเศษ รูปลักษณ์ การใช้งาน ความปลอดภัย ความคงทนโดยกลุ่มลูก ค้าที่เราจะจับก็จะเป็นลูกค้าที่ไม่มีการแข่งขันมาก (niche market) 

      1.2 สินค้าที่มีราคาต่ำนั่นคือการยอมลดคุณภาพในบางด้านที่ไม่สำคัญลงไป เช่นสินค้าที่ผลิตจากจีน จะมีคุณภาพไม่ดี นักพอใช้งานได้ แต่ถูกมากๆหรือ สินค้าที่เลียนแบบแบรนด์ดังๆ ในซุปเปอร์สโตรต่างๆ จริงๆแล้วสำหรับนักธุรกิจมือ ใหม่ควรเลือกในแนวทาง สร้างความแตกต่างมากกว่า การเป็นสินค้าราคาถูกเพราะ หากเป็นด้านการผลิตแล้วรายใหญ่ จะมีต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่ารายย่อย แต่หากเป็นด้านบริการ เราอาจจะเริ่มต้นที่ราคาถูกก่อน แล้วค่อยๆ หาตลาดที่ราย ใหญ่ไม่สนใจ 

      2. Price ราคาเป็นสิ่งที่ค่อนข้างสำคัญในการตลาด แต่ไม่ใช่ว่า คิดอะไรไม่ออกก็ลดราคาอย่างเดียวเพราะการลดราคาสินค้า อาจจะไม่ได้ช่วยให้การขายดีขึ้นได้ หากปัญหาอื่นๆยังไม่ได้รับการแก้ไข การตั้งราคาในที่นี้จะเป็นการตั้งราคาให้เหมาะสมกับ ผลิตภัณฑ์ และกลุ่มเป้าหมายของเรา เช่นหากเราขายน้ำผลไม้ที่จตุจักร ราคาอาจจะต้องถูกหน่อย แต่หากขายที่สยาม หากตั้ง ราคาถูกไปเช่น 10 บาท กลุ่มที่เป็นเป้าหมายอยากให้ซื้ออาจจะไม่ซื้อ แต่คนที่ซื้ออาจจะเป็นคนอีกกลุ่มซึ่งมีน้อยกว่า และไม่คุ้ม ที่จะขายแบบนี้ในสยาม ยิ่งไปกว่านั้นหากราคา และรูปลักษณ์สินค้าไม่เข้ากัน ลูกค้าก็จะเกิดความข้องใจและอาจจะกังวลที่จะซื้อ เพราะราคาคือตัวบ่งบอกภาพลักษณ์ของสินค้าที่สำคัญที่สุด อย่างไรก็ตาม ในด้านการทำธุรกิจขนาดย่อมแล้ว ราคาที่เราต้องการ อาจไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งขนาดนั้น แต่จะมองกันในเรื่องของตัวเลข ซึ่งจะมีวิธีกำหนดราคาง่ายต่างๆดังนี้

     2.1 กำหนดราคาตามลูกค้า คือการกำหนดราคาตามที่เราคิดว่า ลูกค้าจะเต็มใจจ่าย ซึ่งอาจจะได้มาจากการทำสำรวจ หรือแบบสอบถาม 

     2.2 กำหนดราคาตามตลาด คือการกำหนดราคาตามคู่แข่งในตลาด ซึ่งอาจจะต่ำมากจนเราจะมีกำไรน้อยดังนั้นหาก เรา คิด ที่จะกำหนดราคาตามตลาด เราอาจจะต้องมานั่งคิดคำนวณย้อนกลับว่า ต้นทุนสินค้าควร เป็นเท่าไรเพื่อจะได้กำ ไร ตามที่ตั้งเป้า แล้วมาหาทางลดต้นทุนลง 

     2.3 กำหนดราคาตามต้นทุน+กำไร วิธีนี้เป็นการคำนวณว่าต้นทุนของเราอยู่ที่เท่าใด แล้วบวกค่าขนส่ง ค่าแรงของเรา บวกกำไร จึงได้มาซึ่งราคา แต่หากราคาที่ได้มาสูงมาก เราอาจจำเป็นต้องมีการทำประชาสัมพันธ์ หรือปรับภาพลักษณ์ ให้เข้ากับราคานั้น
    
    
   3. Place คือวิธีการนำสินค้าไปสู่มือของลูกค้า หากเป็นสินค้าที่จะขายไปหลายๆแห่ง วิธีการขายหรือการกระจายสินค้าจะมีความ สำคัญมาก หลักของการเลือกวิธีกระจายสินค้านั้นไม่ใช่ขายให้มากสถานที่ที่สุดจะดีเสมอ เพราะมันขึ้นอยู่กับว่า สินค้าของท่านคือ อะไร และกลุ่มเป้าหมายท่านคือใคร เช่นของใช้ในระดับบน ควรจะจำกัดการขายไม่ให้มีมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้เสียภาพ ลักษณ์ได้สิ่งที่เราควรจะคำนึงอีกอย่างของวิธีการกระจายสินค้าคือต้นทุนการกระจายสินค้า เช่นการขายสินค้าใน 7-eleven อาจจะ กระจายได้ทั่วถึง แต่อาจจะมีต้นทุนที่สูงกว่า หากจะกล่าวถึงธุรกิจที่เป็นการขายหน้าร้าน Place ในที่นี้ก็คือ ทำเล ซึ่งก็ควรเลือกที่ ให้เหมาะสมกับสินค้าของเราเช่นกัน อย่าง มาบุญครองกับ สยามเซ็นเตอร์ จะมีกลุ่มคนเดินที่ต่างออกไปและลักษณะสินค้าและ ราคาก็ไม่เหมือนกันด้วยทั้งๆที่ตั้งอยู่ใกล้กัน ท่านควรขายที่ใดก็ต้องพิจารณาตามลักษณะสินค้า
   4. Promotion คือการทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อบอกลูกค้าถึงลักษณะสินค้าของเรา เช่นโฆษณาในสื่อต่างๆ หรือการทำกิจกรรม ที่ทำให้คนมาซื้อสินค้าของเรา เช่นการทำการลดราคาประจำปี หากจะพูดในแง่ของธุรกิจขนาดย่อม การโฆษณาอาจจะเป็นสิ่งที่เกินความจำเป็นเพราะจะต้องใช้เงิน จะมากหรือน้อยก็ ขึ้นกับ ช่องทางที่เราจะใช้ ที่จะดีและอาจจะฟรีคือ สื่ออินเตอร์เนต ซึ่งมีผู้ใช้เพิ่มจำนวนขึ้นมากในแต่ละปี สื่ออื่นๆที่ถูกๆ ก็จะเป็นพวก ใบปลิว โปสเตอร์ หากเป็นสื่อท้องถิ่นก็จะมี รถแห่ วิทยุท้องถิ่น หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น วิธีในการเลือกสื่อนอกจากจะดูเรื่องค่าใช้จ่าย แล้วควรดูเรื่องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายด้วย เช่นหากจะโฆษณาให้กลุ่มผู้ใหญ่ โดยเลือกสื่ออินเตอร์เนต(เพราะฟรี) ก็อาจจะเลือก เวบไซต์ที่ผู้ใหญ่เล่น ไม่ใช้เวบที่วัยรุ่นเข้ามาคุยกัน เป็นต้น 




                                                                                                                                                                            Cr.http://www.nanosoft.co.th